วิชา การอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเสษ EAED 22049
เวลาเรียน 11.30 - 14.00 น.
บันทึกครั้งที่ 2
เด็กที่มีความต้องการพิเศษ
หมายถึง
1. ทางการแพทย์ มักจะเรียกเด็กที่มีความต้องการพิเศษว่า " เด็กพิการ " เด็กที่มีความผิดปกติ มีความบกพร่อง สูญเสียสมรรถภาพ
2. ทางการศึกษา เด็กที่มีความต้องการทางการศึกษาเฉพาะของตัวเอง ซึ่งจำเป็นต้องจัดการศึกษาให้ต่างไปจากเด็กปกติทางด้านเนื้อหา หลักสูตร กระบวนการและการประเมินผล
สรุป
- เด็กที่ไม่สามารถพัฒนาความสามาถได้เท่าที่ควรจากการให้การช่วยเหลือและการสอนตามปกติ
- มีสาเหตุจากสภาพความบกพร่องทางกาย สติปัญญา และอารมณ์
- จำเป็นต้องได้รับการกระตุ้น ช่วยเหลือ บำบัด และฟื้นฟู
- จัดการเรียนการสอนที่เหมาะกับลักษณะและความต้องการของเด็กแต่ละบุคคล
ประเภทของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
แบ่งได้ 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ
1. กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความสามารถสูง
มีความเป็นเลิศทางสติปัญญา เรียกโดยทั่วๆไปว่า " เด็กปัญญาเลิศ "
2. กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความบกพร่อง
กระทรวงศึกษาธิการได้แบ่งออกเป็น 9 ประเภท
1. เด็กบกพร่องทางสติปัญญา
2. เด็กบกพร่องทางการได้ยิน
3. เด็กบกพร่องทางการเห็น
4. เด็กบกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ
5. เด็กบกพร่องทางการพูดและภาษา
6. เด็กบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์
7. เด็กบกพร่องทางการเรียนรู้
8. เด็กออทิสติก
9. เด็กพิการซ้อน
1. เด็กบกพร่องทางสติปัญญา (Children with Intellectual Disabilities)
หมายถึง เด็กที่มีระดับสติปัญญาหรือเชาว์ปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ยเมื่อเทียบเด็กในระดับอายุเดียวกัน
มี 2 กลุ่ม คือ เด็กเรียนช้า และ เด็กปัญญาอ่อน
เด็กเรียนช้า
- สามารถเรียนในชั้นเรียนปกติได้
- เด็กที่มีความสามารถในการเรียนล่าช้ากว่าเด็กปกติ
- ขาดทักษะในการเรียนรู้
- มีความบกพร่องทางสติปัญญาเพียงเล็กน้อย
สาเหตุของการเรียนช้า
- ภายนอก
- ภายใน
ภายนอก
- เศรษฐกิจของครอบครัว
- การสร้างเสริมประสบการณืให้แก่เด็ก
- สภาวะทางด้านอารมณ์ของคนในครอบครัว
- การเข้าเรียนไม่สม่ำเสมอ
- วิธีการสอนไม่มีประสิทธิภาพ
ภายใน
- พัฒนาการช้า (โดยเฉพาะด้านร่างกาย)
- การเจ็บป่วย
เด็กปัญญาอ่อน
- เด็กที่มีภาวะพัฒนาการหยุดชะงัก
- แสดงลักษณะเฉพาะ คือ มีระดับสติปัญญาต่ำ
- มีความสามารถในการเรียนรู้น้อย
- มีความจำกัดทางด้านทักษะ
- มีพัฒนาการทางกายล่าช้าไม่เหมาะสมกับวัย
- มีความจำกัดในการปรับตัวต่อสิ่งแวดล้อม
เด็กปัญญาอ่อนแบ่งตามระดับสติปัญญา (IQ) ได้ 4 กลุ่ม
1. IQ ต่ำกว่า 20
ไม่สามารถเรียนรู้ทักษะด้านต่างๆได้เลย ต้องการเฉพาะการดูแลรักษาพยาบาลเท่านั้น
2. ขนาดหนัก IQ 20-34
ไม่สามารถเรียนได้ ต้องการเฉพาะการฝึกหัดการช่วยเหลือตัวเองในกิจวัตรประจำวันเบื้องต้นง่ายๆ
กลุ่มนี้เรียกโดยทั่วไปว่า C.M.R. (Custodial Mental Retardation)
3. ขนาดปานกลาง IQ 35-49
พอที่จะฝึกอบรมและเรียนทักษะเบื้องต้นง่ายๆได้ สามารถฝึกอาชีพหรือทำงานง่ายๆที่ไม่ต้องใช้ความละเอียดลออได้ เรียกโดยทั่วไปว่า T.M.R(Trainable Mentally Retarded)
4. ขนาดน้อย IQ 50-70
เรียนในระดับประถมได้ สามารถฝึกอาชีพและงานง่ายๆได้ เรียกโดยทั่วๆไปว่า E.M.R (Educable Mentally Retarded)
ลักษณะของเด็กบกพร่องทางสติปัญญา
- ไม่พูดหรือพูดไม่สมวัย
- ช่วงความสนใจสั้น วอกแวก
- ความคิดและอารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย รอคอยไม่ได้
- ทำงานช้า
- รุนแรงไม่มีเหตุผล
- อวัยวะบางส่วนมีรูปร่างผิดปกติ กล้ามเนื้อทำงานไม่ประสานกัน
- ช่วยตนเองได้น้อยกว่าเด็กในวัยเดียวกัน
2. เด็กบกพร่องทางการได้ยิน (Children with Lteaning Tmpaired)
หมายถึง เด็กที่มีความบกพร่องหรือสูญเสียการได้ยิน เป็นเหตุให้การรับฟังเสียงต่างๆได้ไม่ชัดเจน มี 2 ประเภท หูตึง และ หูหนวก
เด็กหูตึง
หมายถึง เด็กที่สูญเสียการได้ยิน แต่สามารถรับข้อมูลได้โดยใช้เครื่องช่วยฟัง จำแนกกลุ่มย่อยได้ 4 กลุ่ม
1. เด็กหูตึงระดับน้อย ได้ยินระหว่าง 26-40 dB
เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงเบาๆ เช่น เสียงกระซิบหรือเสียงจากที่ไกลๆ
2. เด็กหูตึงระดับปานกลาง ได้ยินรหว่าง 41-55 dB
- เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงพูดคุยที่ดังในระดับปกติในระยะห่าง 3-5 ฟุต และไม่เห็นหน้าผู้พูด
- จะไม่ได้ยิน ได้ยินไม่ชัด จับใจความไม่ได้
- มีปัญหานการพูดเล็กน้อย เช่น พูดไม่ชัด ออกเสียงเพี๊ยน
3. เด็กหูตึงระดับมาก ได้ยินระหว่าง 56-70 dB
- เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังและเข้าใจคำพูด
- เมื่อพูดคุยกันด้วยเสียงดังเต็มที่ก็ยังไม่ได้ยิน
- มีพัฒนาการทางภาษาและการพูดล่าช้ากว่าปกติ
- พูดไม่ชัด เสียงเพี๊ยน บางคนไม่พูด
4. เด็กหูตึงระดับรุนแรง ได้ยินระหว่าง 71-90 dB
- เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงและการเข้าใจคำพูดอย่างมาก
- ได้ยินเฉพาะเสียงที่ดังใกล้หูในระยะ 1 ฟุต
- การพูดคุยด้วยต้องตะโกนหรือใช้เครื่องขยายเสียง
- เด็กจะมีปัญหาในการแยกเสียง
- เด็กมักพูดไม่ชัดและมีเสียงผิดปกติ บางคนไม่พูด
เด็กหูหนวก
- เด็กที่สูญเสียการได้ยินมากถึงขนาดที่ทำให้หมดโอกาสที่จะเข้าใจภาษาพูดจากการได้ยิน
- เรื่องช่วยฟังไม่สามารถช่วยได้
- ไม่สามารถเข้าใจหรือใช้ภาษาพูดได้
- ระดับการได้ยินตั้งแต่ 91 dB
ลักษณะของเด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน
- ไม่ตอบสนองเสียงพูด เสียงดนตรี มักตะแคงหูฟัง
- ไม่พูด มักแสดงท่าทาง
- พูดไม่ถูกหลักไวยากรณ์
- พูดด้วยเสียงแปลก มักเปล่งเสียงสูง
- พูดด้วยเสียงต่ำหรือเสียงที่ดังเกินความจำเป็น
- เวลาฟังมักจะมองปากของผู้พูด หรือจ้องหน้าผู้พูด
- รู้สึกไวต่อกรสั่นสะเทือน และการเคลื่อนไหวรอบตัว
- มักทำหน้าเด๋อเมื่อมีการพูดด้วย
3. เด็กบกพร่องทางการเห็น (Children with Visual Lmpairments)
- เด็กที่ไม่เห็นหรือมองเห็นแสงเลือนลาง
- มีความบกพร่องทางสายตาทั้งสองข้าง
- สามารถเห็นได้ไม่ถึง 1/10 ของคนสายตาปกติ
- มีลานสายตากว้างไม่เกิน 30 องศา
จำแนกได้เป็น 2 ประเภท คือ เด็กตาบอด และ เด็กตาบอดไม่สนิด
เด็กตาบอด
- เด็กที่ไม่สามารถมองเห็นได้เลย หรือมองเห็นบ้าง
- ต้องใช้ประสาทสัมผัสอื่นในการเรียนรู้
- มีสายตาข้างดีมองเห็นได้ในระยะ 6/60 20/200 ลงมาจนถึงบอดสนิท
- มีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุดแคบกว่า 5 องศา
เด็กตาบอดไม่สนิท
- เด็กที่มีความบกพร่องทางสายตา
- สามารถมองเห็นบ้างแต่ไม่เท่ากับเด็กปกติ
- เมื่อทดสอบสายตาข้างดีจะอยู่ในระดับ 6/18 20/60 6/60 20/200 หรือน้อยกว่านั้น
- มีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงกว้างไม่เกิน 30 องศา
ลักษณะของเด็กบกพร่องทางการเห็น
- เดินงุ่มง่าม ชนและสะดุดวัตถุ
- มองเห็นสีผิดไปจากปกติ
- มับ่นว่าปวดศรีษะ คลื่นไส้ ตาลาย คันตา
- ก้มศรีษะชิดกับงาน หรือของเล่นที่วางอยู่ตรงหน้า
- เพ่งตา หรี่ตา หรือปิดตาข้างหนึ่เมื่อใช้สายตา
- ตาและมือไม่สัมพันธ์กัน
- มีความลำบากในการจำและแยกแยะสิ่งที่เป็นรูปร่างทางเรขาคณิต
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น